Search

การดื้อแพ่งต่อกฎหมายของประชาชน (Civil Disobedience...

  • Share this:

การดื้อแพ่งต่อกฎหมายของประชาชน (Civil Disobedience)

เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดลึกซึ้งมากขึ้นในฝ่ายที่ไม่ยอมรับหรือเชื่อฟังกฎหมาย หรือการดื้อแพ่งต่อกฎหมาย ซึ่งบุคคลเหล่านี้เป็นที่ยอมรับกันว่าเป็นบุคคลที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เช่น มหาตมะ คานธี (Mahatma Gandhi),มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ (Martin Luter King Jr.) เฮนรี่ เดวิด ธอโร่ (Henry David Thoreau) เป็นต้น
ปัญหาในเรื่องปฏิเสธไม่เคารพเชื่อฟังกฎหมาย ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช ได้กล่าวว่า การที่บุคคลไม่เคารพกฎหมายนั้นมีอยู่ 4 ข้อ คือ
1. ความบกพร่องหรือความไม่ดีของกฎหมาย ซึ่งอาจมาจากสาเหตุต่างๆ เช่น อาจเกิดจากเนื้อหาสาระที่ไม่เป็นธรรมของกฎหมายนั้น ๆ ซึ่งอาจเนื่องจากเป็นกฎหมายที่ออกมาตามอำเภอใจของผู้ปกครองโดยไม่คำนึงถึงผลร้ายที่จะตกอยู่แก่ผู้อยู่ใต้บังคับกฎหมาย
2. เนื่องจากผู้ออกกฎหมายบำเพ็ญตนอยู่เหนือกฎหมายเสียเอง
3. ไม่มีการอธิบายเหตุผลหรือประโยชน์ของกฎหมายให้คนทั่วไปเข้าใจ
4. กฎหมายนั้นมิได้ออกมาเพื่อประโยชน์ของประชาชนหรือออกมาโดยมิได้รับความยินยอม
เห็นชอบของประชาชนกฎหมายในลักษณะนี้ประชาชนอาจไม่นับถือปฏิบัติตามเพราะเห็นว่าไม่ใช่กฎหมายแต่เป็นตัวกดขี่ข่มเหง
แต่อย่างไรก็ตาม การไม่เคารพเชื่อฟังกฎหมายนั้นอาจแบ่งได้ 2 กรณี คือ
1)เป็นกรณีที่เป็นความรู้สึกอยู่ภายในใจ
2)เป็นกรณีที่การแสดงออก ซึ่งในกรณีนี้เป็นการแสดงออกค่อนข้างมีผลกระทบอย่างมาก
เพราะเมื่อมีการแสดงออกนั้นอาจจะ แสดงออกโดยการละเมิดกฎหมายการท้าทายกฎหมายหรือแม้กระทั่งใช้ความรุนแรงต่อกฎหมายที่ไม่เป็น ธรรมก็ได้ ซึ่งเรียกว่า “การดื้อแพ่งต่อกฎหมาย

ปัญหารากฐานของการดื้อแพ่งต่อกฎหมายของประชาชน
การดื้อแพ่งต่อกฎหมายหมายถึงกระทำที่เป็นฝ่าฝืนต่อกฎหมายโดยสันติวิธีเป็นการกระทำในเชิงศีลธรรมเป็นการประท้วงหรือคัดค้านคำสั่งกฎหมายของผู้ปกครองที่อยุติธรรมหรือเป็นการต่อต้านการกระทำของรัฐบาลที่ประชาชนเห็นว่าไม่ถูกต้องฉะนั้นในเบื้องต้นเมื่อกล่าวถึงการดื้อแพ่งต่อกฎหมายจึงเป็นการกระทำที่มิได้ดำเนินไปทางกฎหมายหากจะเป็นการละเมิดต่อกฎหมายโดยมีเป้าหมายเพื่อคัดค้านคำสั่งหรือการกระทำของผู้ปกครองซึ่งการกระทำนี้ไม่ได้อิงอยู่บนสิทธิของกฎหมายเป็นลายลักษณ์อักษรอยู่ในขณะนั้น แนวความคิดเช่นนี้จึงแตกต่างจากความเข้าใจต่อกฎหมายที่มีอยู่ในสังคมควรจะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสังคมไม่เช่นนั้นแล้วก็จะเกิดความวุ่นวายความไม่สงบเรียบร้อยบังเกิด ขึ้น
การกระทำที่เรียกว่า การดื้อแพ่งต่อกฎหมายวางอยู่บนแนวคิดที่สำคัญ 2 ประการด้วยกัน คือ
1.การดื้อแพ่งต่อกฎหมายเป็นการกระทำที่ยืนยันถึงสิทธิของมนุษย์ที่มีอยู่และควรได้การ
เคารพเมื่อพิจารณาถึงความหมายของสิทธิในปัจจุบัน อาจแบ่งแยกออกได้ 2 ประเภท
1) สิทธิประเภทแรก คือ สิทธิที่ได้รับการรับรองตามกฎหมาย (Legal rights) ตามนัยสิทธิประเภทนี้ถือว่าสิ่งที่จะถูกจัดว่าเป็นสิทธิโดยถูกต้องนั้นจำเป็นต้องได้รับการรับรองตามกฎหมาย
ก่อนและมีแต่สิทธิประเภทนี้เท่านั้นซึ่งจะเป็นหลักของการอ้างอิงรวม
2) สิทธิประเภทสอง คือ สิทธิที่อาจนำไปสู่การฝ่าฝืนหรือการไม่ปฏิบัติตาม
กฎหมายของรัฐที่มีผลบังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน
ดังนั้นการดื้อแพ่งต่อกฎหมายแม้จะเป็นการกระทำที่ละเมิดต่อกฎหมายของรัฐแต่ในอีกแง่มุมหนึ่งเป็นการกระทำของบุคคลที่ทำตามความเชื่อหรือมโนธรรมส่วนตัวเป็นสิ่งที่ถูกต้องและยุติธรรมมากกว่า
2.การดื้อแพ่งต่อกฎหมายเป็นภาพสะท้อนถึงความล้มเหลวของการเมืองในระบอบประชาธิปไตย แบบตัวแทน
ในปัจจุบันท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอันเนื่องมาจากความเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ สังคม เทคโนโลยีการสื่อสาร การครอบงำลัทธิทางการค้าเสรีแพร่ขยายไปทั่วโลกมีการจัดตั้งองค์กรโลกบาลเพื่อจัดวางกฎเกณฑ์ทางด้านการค้าและธุรกิจ รัฐและกลไกของรัฐต้องอยู่ภายใต้อิทธิพลการชี้นำขององค์กรโลกบาลมากขึ้น(ยกตัวอย่างเช่น องค์กร WTO เป็นต้น) รวมกับการแสวงหาประโยชน์ของนักการเมืองพรรคการเมืองเองทำให้ระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทนไม่สามารถแก้ปัญหาของประชาชนได้อย่างแท้จริง
ดังปรากฏจากการดำเนินนโยบายของรัฐจำนวนมากที่เกิดผลกระทบต่อผู้คนอย่างกว้างขวาง (เช่นโครงการขุดท่อก๊าซไทย – มาเลเซีย ที่สงขลา) แต่โครงการดังกล่าวก็มักจะเกิดขึ้นและดำเนินต่อไป ภายใต้การสนับสนุนขององค์กรโลกบาลและนักการเมืองภายในประเทศนั้น โครงการสร้างเขื่อนเป็นตัวอย่างหนึ่งที่สะท้อนความล้มเหลว ของระบบนี้ได้เป็นอย่างดี
การดื้อแพ่งต่อกฎหมาย จึงเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองแบบใหม่ที่ปฏิเสธการเมืองแบบตัวแทน แต่เป็นการสร้างรูปแบบการเคลื่อนไหวทางการเมืองแบบใหม่ขึ้นเป็นการเมืองที่ประชาธิปไตยแบบทางตรง (Direct Democracy) รูปแบบเก่า

ลักษณะของการดื้อแพ่งต่อกฎหมาย
ตามแนวความคิดของ จอห์น รอลส์ (Jhon Rawls) ซึ่งเป็นศาสตราจารย์ทางด้านปรัชญาของมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ได้เขียนงานชิ้นสำคัญ คือ “ทฤษฎีความยุติธรรม” (A Theory of Justice) รอลส์ ให้นิยามการดื้อแพ่งต่อกฎหมายของประชาชนว่า คือ การฝ่าฝืนกฎหมายด้วยมโนธรรมสำนึก ซึ่งกระทำโดยเปิดเผยในที่สาธารณะโดยไม่ใช้ความรุนแรงและเป็นการกระทำในเชิงการเมืองที่ปกติแล้ว มุ่งหมายจะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายหรือนโยบายของรัฐบาล
ตามแนวความคิดของ รอลส์ เขาเห็นด้วยกับการเคารพเชื่อฟังต่อกฎหมายโดยถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของหน้าที่โดยธรรมชาติของประชาชนในการรักษาสถาบันแห่งความยุติธรรม โดยสร้างพื้นฐานของสังคมยังคงมีความเป็นธรรมอยู่ แต่ถ้ากฎหมายนั้นไม่เป็นธรรม รอลส์ ก็ก้มหัวให้กับความชอบธรรมในการดื้อแพ่งต่อกฎหมายของประชาชน แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขดังต่อไปนี้
1. ต้องเป็นการกระทำที่มีจุดประสงค์ของการสร้างความเป็นธรรมให้กิดแก่สังคมเป็นการกระทำในเชิงการเมือง แต่ต้องมิใช่เป็นมุ่งทำลายระบบกฎหมายทั้งหมดหรือรัฐธรรมนูญ (Constitutional theory of civil disobedience)
2. กฎหมายที่ต่อต้านหรือดื้อแพ่งนั้น ต้องเป็นกฎหมายที่ขาดความชอบธรรมเป็นอย่างมาก อัน
เป็นการฝ่าฝืนหลักความเป็นธรรมขั้นพื้นฐานหรืออิสรภาพขั้นมูลฐานของประชาชน
3. การไม่เคารพหรือต่อต้านกฎหมายต้องถือว่า เป็นปฏิบัติการซึ่งเป็นทางเลือกสุดท้ายหลังจากประสบความล้มเหลว ในการแก้ปัญหากฎหมายที่ไม่เป็นธรรมและความสุจริตตามขั้นตอนที่ชอบด้วยกฎหมายตามปกติ ซึ่งอาจเป็นลักษณะของการยื่นคำร้องผ่านพรรคการเมืองต่อรัฐสภา หรือสถาบันของรัฐที่รับผิดชอบเรื่องการตรวจสอบแก้ไขกฎหมาย
4. การต่อต้านกฎหมายต้องกระทำโดยสันติวิธีโดยเปิดเผย และในหลายกรณีมีข้อจำกัดในแง่ที่ต้องเคารพต่อสิทธิในการดื้อแพ่งของบุคคลอื่นที่มีความคล้ายคลึงกัน ทั้งนั้นย่อมหมายความด้วยว่าผู้ต่อต้านจะต้องพร้อมเสมอที่จะเผชิญหน้ากับผลทางกฎหมายจากการดื้อ แพ่งดังกล่าว เงื่อนไขข้อนี้เท่ากับเป็นการชี้ให้เห็นลึกๆลงแล้วในมโนธรรมสำนึก ของผู้ดื้อแพ่งต่อกฎหมายยังเปี่ยมไปด้วยความซื่อสัตย์เชื่อมั่นต่อสถาบันกฎหมาย เป็นการใช้ความสงบ นุ่มนวล เปิดเผยและพร้อมที่จะรับโทษทัณฑ์จากการกระทำนั้นๆ


Tags:

About author
not provided
ปัจุบัน พ้นจากการโมฆะบุรุษ รองศาสตราจารย์ประจำ คณะนิติศาสตร์
View all posts